โทษหรือข้อควรระวังของข้าวไรซ์เบอร์รี่ รู้ไว้ก่อนกินเพื่อสุขภาพที่แท้จริง




แม้ว่า ข้าวไรซ์เบอร์รี่ (Riceberry) จะได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในข้าวที่ดีต่อสุขภาพมากที่สุดในโลก ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นไฟเบอร์สูง ดัชนีน้ำตาลต่ำ และสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ก็เหมือนกับอาหารสุขภาพอื่นๆ ที่ การบริโภคมากเกินไป หรือไม่ถูกวิธี อาจมีผลเสียตามมาได้ บทความนี้จะพาคุณมารู้จัก “โทษของข้าวไรซ์เบอร์รี่” และข้อควรระวังที่ควรใส่ใจ ก่อนจะนำข้าวสายพันธุ์นี้มาเป็นอาหารหลักในชีวิตประจำวัน


ข้อควรระวังเมื่อกินข้าวไรซ์เบอร์รี่เป็นประจำ 


1. มีคาร์โบไฮเดรตอยู่ไม่น้อย แม้จะเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (complex carbs) ซึ่งดีกว่าคาร์บขัดสี แต่ข้าวไรซ์เบอร์รี่ก็ยังมีแคลอรี หากบริโภคมากเกินไป เช่น 2-3 ถ้วยในมื้อเดียว ก็อาจทำให้ น้ำหนักขึ้น ได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ออกกำลังกายหรือใช้พลังงานมากพอ

คำแนะนำ: กินประมาณ ½ - 1 ถ้วยตวงต่อมื้อก็เพียงพอ 


2. ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีภาวะไตเรื้อรังขั้นสูง ข้าวไรซ์เบอร์รี่มีแร่ธาตุ เช่น ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมในระดับที่สูง ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคไตในระยะท้าย เพราะอาจสะสมในร่างกายจนเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

คำแนะนำ: หากเป็นโรคไต ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อนบริโภค 


3. การปนเปื้อนโลหะหนักจากแหล่งปลูก มีการศึกษาที่พบว่าข้าวบางแหล่งที่ปลูกในพื้นที่อุตสาหกรรมอาจปนเปื้อนโลหะหนัก เช่น แคดเมียมหรือสารเคมีจากดินและน้ำ หากรับประทานเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อระบบประสาทและไต 

คำแนะนำ: เลือกซื้อข้าวไรซ์เบอร์รี่จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐานการรับรอง (เช่น มอก. หรือ อย.) 


4. ใช้เวลาย่อยนาน อาจไม่เหมาะกับบางคน เพราะข้าวไรซ์เบอร์รี่มีไฟเบอร์สูงมาก จึงใช้เวลาย่อยนานกว่าข้าวขาวหรือข้าวกล้อง อาจทำให้บางคนรู้สึกแน่นท้อง หรือท้องอืด โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาระบบย่อยอาหาร  

คำแนะนำ: ควรเคี้ยวให้ละเอียด หรือแช่ข้าวก่อนหุง 30–60 นาที เพื่อช่วยให้ย่อยง่ายขึ้น


สรุป: ข้าวไรซ์เบอร์รี่ กินให้ “พอดี” จึงจะดีที่สุด 

ด้านดี: 

- ดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low GI) 

- ไฟเบอร์สูง อิ่มนาน

- ต้านอนุมูลอิสระ

- เหมาะกับผู้ลดน้ำหนัก ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยง

ข้อควรระวัง:

- ยังกินแล้วให้พลังงานสูง หากกินมาก

- เสี่ยงท้องอืดถ้าย่อยไม่ดี

- อาจปนเปื้อนโลหะหนักหากแหล่งผลิตไม่สะอาด

- ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยง

0 ความคิดเห็น